UFO มีหน้าตาเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบอย่างแท้จริง แต่ด้วยหลักฐานภาพถ่ายที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จะบอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของจานบินและมนุษย์ให้พวกเราในยุคปัจจุบันได้ทราบ พวกเขาคือใคร? และมายังโลกนี้ทำไม?
ในความคิดของคุณ UFO อาจจะมีหน้าตาเหมือนจานร่อนแบนๆที่ลอยอยู่บนฟ้า ปกคลุมด้วยแสงเจิดจ้ารอบลำเครื่องและหมุนไปมาด้วยความเร็วที่มนุษย์ไม่อาจสร้างสิ่งใดๆมาทำแทนได้ สามารถดูดวัวทั้งตัวลอยขึ้นไปบนอากาศด้วยลำแสงแรงดึงดูดได้
ในความจริงแล้ว UFO คือวัตถุที่เราไม่สามารถระบุหรือกำหนดตัวตนได้ พวกมันคือจานบินที่หาคำอธิบายมารองรับไม่ได้ ทุกครั้งที่จานบินปรากฎในที่ใดจะสร้างความหวาดวิตกกังวลให้กับคนบริเวณโดยรอบไม่น้อย ในฐานะมนุษย์ได้หาคำตอบเรื่องราวน่าพิศวงนี้มานานนับพันปี จนทำให้เราไม่ตื่นตระหนกเท่าผู้คนในอดีตอีกแล้ว (แต่ถ้าเจอเข้าจริงๆก็อาจจะตื่นตระหนกอยู่ดี)
ด้วยความไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร ทุกครั้งที่เราเห็นภาพจานบินจะเกิดความรู้สึกหลายๆอย่างขึ้นในจิตใจ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมากที่สุดก็คงเป็นความกลัวอย่างแน่นอน
ในหน้าประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมร่วมสมัย UFO ถูกเล่าผ่านกิจกรรมต่างๆในสังคมเป็นวงกว้าง
เราจะเห็นทฤษฎีและการสมรู้ร่วมคิดมากมายอย่าง UFO ที่เกิดขึ้นในนิยายต่างๆในสมัยนั้น มีการหยิบนำวัฒนธรรม อารมณ์และความคิดของคนสมัยนั้นมาเล่าและโยงถึงกันอย่างมีเอกลักษณ์ รวมถึงสร้างจินตนาการให้เรานึกถึงสถานที่ๆไม่เคยเห็นมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์
นิยายเหล่านี้สร้างความหวาดกลัวให้เราอย่างมาก เช่น The War of the Worlds และ Independence Day ทั้งยังสร้างคำถามแก่เผ่าพันธุ์มนุษย์ว่าเรามาจากไหนหรือสร้างความรู้สึกต่ำต้อยว่าพวกเราก็ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญอะไรเลยเมื่อเทียบกับเผ่าพันธุ์ที่ทรงภูมิปัญญากว่า
ด้วยเหตุนี้เรามาเรียนรู้ความเป็นมาของ UFO ผ่านภาพวาดและภาพถ่าย แล้วสำรวจตัวเราเองว่าสิ่งเหล่านี้ได้สอนตัวเราอย่างไรและให้มุมมองกับเราที่มีแก่พวกมันอย่างไรบ้าง
ทุกคนมองท้องฟ้ามาตั้งแต่อดีตกาล
หลายพันปีที่ผ่านมาเนิ่นนาน ผู้คนต่างแหงนมองท้องฟ้าและค้นหาสัญลักษณ์ต่างๆบนท้องนภา ย้อนกลับไปช่วง 240 ก่อนคริสตกาล นักดาราศาสตร์ชาวจีนได้จดบันทึกการมีอยู่ของ “ดาวไม้กวาด” เชื่อกันว่านี่คือ “ดาวหางฮัลลีย์” ที่เราจะพบเจอในทุกๆ 75 ปี
สัญลักษณ์เหตุการณ์บนท้องฟ้าอื่นๆก็ปรากฎอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์เช่นกัน ผู้คนก็ต่างค้นหาว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมาจากฝีมือ UFO หรือไม่
เหตุการณ์ที่น่าจดจำหนึ่งในนั้นคือปรากฎการบนท้องฟ้าเหนือเมือง Nuremberg ที่หลายๆคนชอบคิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากฝีมือ UFO แน่นอน แต่จากคำอธิบายแล้วมันก็คือเหตุการณ์ทางธรรมชาติที่มีชื่อว่า “Sun dog” ที่้เกิดขึ้นช่วงอาทิตย์อยู่ใกล้เส้นขอบฟ้า พบมากในฤดูหนาวบริเวณภูมิประเทศที่หนาวเย็นกว่าประเทศไทย ซึ่งเกิดจากการหักเหของแสงในอากาศที่สะท้อนกับผลึกน้ำแข็ง จนเกิดแสงโค้งสีรุ้งเหนือดวงอาทิตย์
เหตุการณ์นี้และอื่นๆอีกมากมายถูกอธิบายโดยคุณ Carl Jung ในหนังสือชื่อว่า “Flying Saucers: A Modern Myth of Things Seen in the Skies” ผ่านมุมมองที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการเหนือธรรมชาติ ศาสนาและการทหาร
การตีความทางศาสนา เรื่องเหนือธรรมชาติและการทหารที่เกี่ยวข้องกับวัตถุยานบินลึกลับนี้ยังคงมีอยู่ต่อไปเรื่อยๆตราบนานเท่านาน แม้แต่ในสงครามโลกครั้งที่สอง นักบินทั้งฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายอักษะต่างรายงานการพบเห็น UFO ในขณะออกบินอีกด้วย
ความคลั่งไคล้ UFO สะเทือนวงการวิทยุและหนังสือพิมพ์
คุณ Orson Welles กับทีมงานพยายามอย่างหนักในการทำบรอดแคสต์เกี่ยวกับฮาโลวีน แต่พอมาถึงเรื่อง War of the Worlds ที่เกี่ยวข้องกับ UFO ทำให้มุมมองการรับรู้ข่าวสารของสาธารณะชนเปลี่ยนไปตลอดกาล หลังจากปล่อยออกอากาศไปมีผู้คนจำนวนมากเกิดความหวาดผวาอย่างหนักต่อบรอดแคสต์อันนั้น มีรายงานว่าชาวอเมริกันหลายแสนคนเกิดตื่นกลัวเหมือนคำอธิบายในหนังสือฉากที่ Deadly Martian บุกโจมตีโลก
ถึงแม้สงครามโลกครั้งที่สองเกิดมาแล้วก็ผ่านไป แต่ความคลั่งไคล้ UFO ยังคงอยู่และยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆตามความขัดแย้งระหว่างสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
ในปี 1947 บริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลจากบริเวณ White Sands Missile Range ชาวสวนในรัฐนิวเม็กซิโกค้นพบเศษซากวัตถุประหลาดในที่ดินของตัวเอง หลังจากนั้นไม่นานกองทัพสหรัฐฯ ออกแถลงการณ์ยืนยันว่าเศษซากดังกล่าวคือ “จานบิน”
แต่หลังจากนั้นไม่นานแถลงการณ์ฉบับนั้นก็ถูกเพิกถอน เหมือนกับเติมเชื้อเพลิงให้กับกองไฟที่กำลังคุกรุ่นในใจของสาธารณะชนจนเกิดความสงสัยว่า สิ่งนั้นคือจานบินจริงๆหรือเป็นอาวุธที่ใช้สู้กับโซเวียตกันแน่?
คำถามนี้ยังคงไร้คำตอบตราบจนปัจจุบัน
กระแสความสนใจ UFO กับสาธารณชนได้เพิ่มขึ้นและลดลงในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่กระแสก็ดีดกลับขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเร็วๆนี้เพราะรัฐสภาสหรัฐกล่าวถึงเหตุการณ์ UFO หลายร้อยครั้ง
เอเลี่ยนบุกฮอลลีวูด
มรดกตกทอดทางวัฒนธรรมของคุณ Orson Welles สืบทอดมาจนถึงคราวที่วงการฮอลลีวูดต้องจับไปทำหนัง โฟกัสไปที่สิ่งมีชีวิตต่างดาวเหล่านั้น ในช่วงไฟของสงครามเย็นกำลังเกิดขึ้นอย่างหนักหน่วง หนังอย่าง The Day the Earth Stood Still ก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเรียกร้องสันติภาพและต้องการยุติสงครามลง ในขณะเดียวกันหนังเรื่อง Invasion of the Body Snatchers กลับสร้างความหวาดกลัวแก่ผู้คนในระแวกบ้านกันเอง
โดยคอนเซปท์ของเรื่อง Invasion เริ่มกลายเป็นสิ่งที่หลายๆคนคุ้นเคย เนื่องจากชาวอเมริกันจำนวนมากค่อนข้างไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาลของตนเอง
ผ่านไปสามทศวรรษจนถึงช่วงปี 1980 จนถึงช่วงต้นของปี 2000 เราจะเห็น UFO ปรากฎในภาพยนต์ที่สะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญของที่เกิดกับชาวอเมริกัน ณ ขณะนั้น โดยมีเรื่องของทฤษฎีสมคบคิดและการคุกคามจากการก่อการร้าย
รายการทีวีโชว์อย่าง The X-Files นำเทคโนโลยีต่างดาวมาฉายบนจอทีวีให้เข้าใจได้ง่าย มีการนำเสนอแนวทางที่ชวนสงสัยและแปลกประหลาดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
หนังฟอร์มยักษ์อย่าง Men in Black ก็นำเรื่อง UFO มาผสมกับทฤษฎีสมคบคิดและตำนานพื้นเมืองปรัมปราเกี่ยวกับชายชุดดำที่จะปรากฎทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ UFO เกิดขึ้น
ในขณะที่หนัง Men in Black โฟกัสไปที่การปกป้องโลกจากการรุกรานของต่างดาว แต่เรื่อง Independence Day ได้ยกระดับหนังแนวนี้ขึ้นไปอีกขั้น เป็นภาพยนต์ที่ทำสถิติรายได้สูงสุดในปี 1996 โดยที่ไม่เคยมีหนังเรื่องใดทำเงินถึง 150 ล้านดอลลาร์ได้เร็วเท่านี้มาก่อน
หนังไม่เพียงแต่สะท้อนในเรื่องความหวาดกลัว แต่ยังผสมเทรนด์ Y2K เข้าไปในหนังด้วย นิตยสาร TIME ถึงขั้นพาดหัวหนังสือว่า “Sci-Fi Is Back!” บนหน้าปกเดือนกรกฎาคมปี 1996 เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าหนังแนวนี้นั้นโด่งดังแค่ไหน
UFO ทำให้เรารู้สึกสมเพชตัวเอง
ตอนนี้เราอยู่ในช่วงเวลาที่มีข้อมูลใหม่ๆเกิดขึ้นและยากเกินเข้าใจอย่างท้วมท้น วัยรุ่นเริ่มเผชิญปัญหาสุขภาพเป็นวงกว้าง ผู้คนทุกช่วงวัยเริ่มรับรู้ข่าวสารผิดๆและมีอารมณ์ร่วมกับโซเชียลมีเดียมากเกินจำเป็น เราต่างทำงานหนักเกินควรไปมากจนเกิดการโหยหานิยายแนววิทยาศาสตร์ ที่นำพาเราไปสู่โลกแห่งจินตนาการใบใหม่
ในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมา การเล่าเรื่องในแนวครีเอทีฟเริ่มมีเรื่องราวเกี่ยวกับ UFO มาเกี่ยวข้องบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นในธีม Cyberpunk หรือลายเส้นการ์ตูนที่เหมือนหลุดมาสู่โลกความจริง แถมพวกมันยังหัวเราะเยาะเราด้วย
แนวคิดความขี้สงสัยและการทำลายล้างเริ่มเด่นชัดในการ์ตูนเรื่อง Rick&Morty ที่ตัวละครเอกสามารถเดินทางข้ามจักรวาลไปมาด้วยยานบินคู่ใจ มีการพูดคุยเรื่องมุกตลกถ่มถุยตลอดทั้งเรื่อง
นักแสดงตลกชื่อดังอย่างคุณ Jordan Peele ผู้มีชื่อเสียงด้านการเล่นมุกเกี่ยวกับเชื้อชาติและความเท่าเทียม เคยพูดถึงเรื่องนี้ว่าเป็นการ์ตูนแนว Sci-fi ที่บิดเบี้ยวพลิกแพลงไปมาได้ดีจริงๆ
แม้แต่การเคลื่อนไหวเพื่อความยุติธรรมทางสังคม อย่างการต่อสู้เพื่อสิทธิของ LGBTQ+ ได้ไปจุดประกายให้หนัง UFO เก่าอย่าง The Rocky Horror Picture Show โด่งดังขึ้นอีกครั้ง โดยเล่าเรื่องมนุษย์ต่างดาวที่มีหลากหลายเพศมาเยี่ยมเยียนโลกโดยปลอมแฝงเข้ามาในคฤหาสถ์ เพื่อร้องเล่นเต้นรำและสวมเสื้อผ้าข้ามรูปลักษณ์ตัวเอง
ประวัติศาสตร์มักซ้ำรอยและวนเวียนมาสู่จุดเริ่มต้นเสมอ คุณจะเห็นว่าหนัง UFO ต้องกลับมาเกี่ยวข้องกับศาสนาไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง
สังเกตได้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งกำหนดและให้ความหมายกับเหตุการณ์ที่เราไม่รู้จักมาตั้งแต่อดีต ไม่ว่ามนุษย์ต่างดาวจะตลก นิสัยดี โหดร้าย น่ากลัว ฯลฯ ขึ้นอยู่กับตัวเราทั้งสิ้น ในอนาคตไม่แน่ว่าเราอาจจะได้พบเจอกับพวกเขาจริงๆก็ได้ใครจะไปรู้
