มนุษย์นำสัตว์มาใช้ในงานศิลปะตั้งแต่สมัยเกือบจะจุดเริ่มต้นของกาลเวลา จนถึงปัจจุบัน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้กลายเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจและกระตุ้นให้เกิดการสร้างงานศิลปะเป็นวงกว้าง
ณ เมืองนิวยอร์กปีก่อนหน้า ทางชุมชนระแวกนั้นเกิดไอเดียนำรูปปั้นของสัตว์ต่างๆอันเป็นที่รักของชุมชนออกจากสวนสาธารณะและสนามเด็กเล่น
เป็นเรื่องเป็นราวขนาดที่ว่าทางเมืองนิวยอร์กได้สร้างพื้นที่สำหรับโละทิ้งรูปปั้นเหล่านั้น ซึ่งรูปปั้นจะถูกย้ายไปยัง “สวนพักพิกสำหรับรูปปั้นสัตว์เกษียณแห่งเมืองนิวยอร์ก” แห่งแรก ใน Flushing Meadow–Corona Park นี่เป็นหลักฐานว่าแค่ประชากรบางกลุ่มที่ไม่พอใจกับบางสิ่งก็ทำเรื่องที่น่าตกใจให้เกิดขึ้นได้
ไม่แปลกใจที่ชาวเมืองจะยึดติดกับงานศิลปะเกี่ยวกับสัตว์ เพราะอันที่จริงแล้วศิลปะภาพสัตว์มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและหลากหลายที่รวมถึงงานศิลปะแบบคลาสสิค เช่นเดียวกับสถาปัตยกรรมและการประดับตกแต่งแฟชั่น ศิลปินหลายๆท่านใช้สัตว์ที่ยังมีชีวิตในการสร้างผลงานของพวกเขาอีกด้วย
ย้อนกลับไปมื่อ 45,000 ปีก่อนคริสตกาลจนถึงปัจจุบัน ภาพวาดของสัตว์ที่เป็นรูปลักษณ์หรือเสมือนจริง และสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ต่างได้เกิดขึ้นในทุกวัฒนธรรมและทุกช่วงเวลาของประวัติศาสตร์
แต่ก็เหมือนกันงานศิลปะประเภทอื่นๆ งานศิลปะจากสัตว์เองก็มีช่วงนำสมัยและล้าสมัยเช่นเดียวกัน
ในเมืองนิวยอร์กนั้น รูปปั้นสัตว์ต่างๆเพื่อใช้ประดับตกแต่งและวัตถุทางศิลปะได้หลุดจากวงโคจรแฟชั่นทั้งศิลปะสมัยใหม่และศิลปะร่วมสมัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่ทำไมผู้คนถึงยังรักการสร้างสรรค์และชื่นชมงานศิลปะจากสัตว์อยู่?
ประวัติศาสต์โดยย่อของศิลปะภาพสัตว์
ผลงานชิ้นแรกของศิลปะรูปลักษณ์ (งานศิลปะที่เกี่ยวกับสิ่งที่จดจำได้) เป็นภาพสัตว์: หมูซูลาเวซี (Sulawesi) ไม่ต่ำกว่า 45,500 ปีที่แล้ว มนุษย์ใช้ดินสีเหลืองในการวาดหมูขึ้นมา ภาพวาดหมูเหล่านี้เกิดขึ้นก่อนรูปอื่นในยุโรปมากกว่า 5,000 ปี
แต่ภาพการใช้ชีวิตของคนเก็บของป่าล่าสัตว์ในถ้ำจากอินเดียถึงจีนมีความเป็นไปได้ว่านานกว่านั้น
ในยุโรป เราจะเห็นประติมากรรมสิงโตมนุษย์ที่ชื่อว่า The Lion Man of Hohlenstein Stadelin เมื่อ 35,000-40,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหัวเป็นสิงโต ร่างกายเป็นมนุษย์
ตุ๊กตาสิงโต Löwenmensch คืองานประติมากรรมถูกแกะสลักจากงาช้างแมมมอธและได้รับการนับถือกันอย่างแพร่หลายว่าเป็น Zoomorphic (สัตว์ที่มีรูปร่าง) ที่เก่าที่สุดในโลกที่เคยมีมา
ศิลปะรูปลักษณ์สัตว์เกิดขึ้นต่อเนื่องจากวัฒนธรรมต่างๆไม่ว่าจะอียิปต์ เมโสโปเตเมีย จีน ไปจนถึงอเมริกากลาง
แนวคิดด้านศิลปะภาพสัตว์ดำเนินมาจนถึงช่วงยุคกลาง แต่มีการเปลี่ยนแปลงให้ใช้สัตว์ในเชิงสัญลักษณ์ต่างๆโดยจะปรากฏในผลงานที่เกี่ยวกับศาสนาอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะส่วนขอบของเอกสารตัวเขียนสีวิจิตรที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา งานศิลปะเกี่ยวกับภาพสัตว์เริ่มการแบ่งแยกเป็นสองฝั่งระหว่างนักอนุรักษ์นิยม กลุ่มคนที่ต้องการที่จะสร้างงานศิลปะที่มุ่มเน้นความสมจริงสูงกับอีกกลุ่มที่ต้องการสำรวจกลยุทธ์ใหม่ๆที่ต่างจากแบบดั้งเดิม
กลุ่มของโรงเรียนศิลปะ Animalier (หรือกลุ่มขับเคลื่อนสัตว์) ได้เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ถึงปลายศตวรรษที่ 19 ได้ใช้รูปลักษณ์สัตว์หลายรูปแบบในการสร้างชิ้นงาน กลุ่มขับเคลือนนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ปารีส ฝรั่งเศส และอิตาลี และสาขาอีก 2-3 แห่งในอังกฤษ เยอรมัน และอเมริกาเหนือ
สัตว์มีชีวิตในงานศิลปะของยุคร่วมสมัย
มีคนกลุ่มหนึ่งคิดสร้างผลงานแนวสถิตยศาสตร์ (Surrealism) กับผลงานของ Salvador Dali โดยนำผลงาน Proto-installaion มาผสมกับรถแท็กซี่ กลายเป็น Rainy Taxi โดยมีหอยทากเป็นๆกับพืชพรรณต่างๆที่ถูกรดน้ำมาจากหลังคารถแท็กซี่ดัดแปลง
ศิลปินหลายๆท่านจึงได้นำสัตว์ที่ดูมีชีวิตมาใช้ในชิ้นงานอยู่เรื่อยๆ
หนึ่งในการเคลื่อนไหวทางศิลปะที่เกี่ยวข้องกับสัตว์สุดโด่งดังเกิดจากคุณ Jannis Kounellis ชาวกรีก ซึ่งผลงานชิ้นเอกของเขาในปี ค.ศ.1969 ซึ่งประกอบไปด้วยม้าราว 12 ตัวถูกผูกไว้กับกำแพงของ Galleria l’Attico ในกรุงโรม
สัตว์จะถูกจองจำและมัดอยู่ข้างกำแพง พละกำลังและรูปทรงทางกายภาพของสัตว์ส่งผลต่อผู้เยี่ยมชมงานอย่างมาก สัตว์เหล่านี้ถูกนำเสนอในแง่มุมความแตกต่างจากสิ่งที่เห็นในภาพวาดและสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งความรู้สึกที่เห็นต่างกันราวฟ้ากับเหว
งานแสดงถูกจัดขึ้นอีกครั้งที่ เวนิส เบียนนาเล่ (Venice Biennale) ปี 1976 งานชิ้นนี้เป็นผลงานสุดโด่งดัง น่าจดจำและบ่งบอกถึงกาลเวลาได้ชัดเจน
การออกจากกรอบเดิมๆของศิลปะภาพสัตว์–ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย
ศิลปะร่วมสมัยไม่ได้ให้ค่ากับสัตว์มากเท่ากับการใช้ในการอุปมา ลองนึกถึง Damien Hirst กับผลงานฉลามอันโด่งดัง หรือไม่ก็ Banksy กับงานกราฟฟิตี้หนูของเขา
Koons ใช้หงส์ ลิง กระต่าย และสุนัข ส่วน Beth Cavenar ใช้ กระต่าย ผ้าปู แพะ และเสือภูเขา ศิลปินเหล่านี้สร้างความแตกต่างในอาชีพโดยการทำงานที่มีสัตว์มาเกี่ยวข้อง
Hirst รู้เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ที่ตายแล้วดีที่สุด สังเกตจากตู้แสดงชุดประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติ (โดยมี ฉลาม แกะ และวัวถูกคงสภาพไว้ในสารฟอร์มาลดีไฮด์) แม้ผลงานทางกีฏวิทยาของเขามีมากมายหลากหลาย แต่มีเพียงสองชิ้นงานที่ทำให้เขาโด่งดัง ทั้งสองชิ้นงานเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1991 ซึ่งสัตว์ที่นำไปแสดงโชว์นั้นเคยมีชีวิตอยู่ในตอนแรก
ในผลงานชื่อ A Thousand Years Hirst ได้นำหัววัวที่ถูกตัดออกใส่ไว้ในตู้กระจก มันเน่าและเต็มไปด้วยหนอน ตลอดเวลาการทำงานของเขา หนอนเริ่มกลายเป็นแมลงวันบินอยู่ด้านบนของตู้ ซึ่งก็ถูกฆ่าด้วยเครื่องดักแมลงวัน
คอนเซ็ปต์ผลงาน In and Out of Love ก็คล้ายกัน ซึ่งประกอบไปด้วยผีเสื้อนับพันตัวที่กำลังเกิดจากดักแด้ มีชีวิตอยู่เพียงชั่วครู่ และตายจากไปภายในพื้นที่จัดแสดง ผลงานทั้งสองแบบนี้ได้เน้นย้ำให้เห็นถึงกระบวนการมีชีวิตและการเปลี่ยนแปลงของแมลงรอบๆ และกลายเป็นเพียงร่างไร้วิญญาณในท้ายที่สุด
Cavenar ประติมากรร่วมสมัย สร้างหุ่นรูปสัตว์ขนาดเท่าตัวจริงที่เต็มไปด้วยอารมณ์และการมีชีวิตอยู่ ในการให้สัมภาษณ์ ศิลปินเล่าว่า “การดิ้นรนต่อสู้ทั้งทางกายและจิตใจของพวกมัน ร่างกายแสดงถึงความไม่พอใจต่อแนวโน้มของมนุษย์ที่มีต่อความโหดร้ายและการขาดความเข้าใจ บางสิ่งที่มีจิตสำนึกและการตื่นรู้ก็ถูกเฝ้ามองผ่านท่าทางและการแสดงออก คำเชื้อเชิญและการตำหนิติเตียน”
ผลงานของเธอได้แก่ ลิงที่ถูกล่ามไว้กับหมาป่า กระต่ายนอนหงายเอนกาย และงูสักลายฝังเขี้ยวลงในกระต่าย
ในอีกหนึ่งการให้สัมภาษณ์ เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า “ฉันใช้ร่างกายของสัตว์เพื่อแทนอารมณ์และความคิดของมนุษย์…สัตว์เหล่านี้ก็เหมือนคนเรา มีไหปลาร้า สะดือ และอวัยวะสืบพันธ์ ซึ่งส่วนต่างๆของร่างกายนั้นไม่ได้เป็นของสัตว์เหล่านี้ และด้วยท่าทางและวิธีแสดงออกที่ง่ายและต่างจากมนุษย์โดยสิ้นเชิง”
สุดท้ายอะไรคือสิ่งที่ทำให้ศิลปะสัตว์แพร่หลาย
สำหรับบางคน มันคือสเน่ห์โดยทั่วไปของสัตว์ สำหรับบางคน มันเกี่ยวกับการใช้สัตว์เป็นพาหนะเพื่อแสดงถึงความซับซ้อนทางอารมณ์และความคิด และสำหรับศิลปินบางคนคงเพียงเพราะพวกเขาเชื่อว่าสัตว์เหล่านั้นงดงาม
ฉันได้สร้างงานศิลปะขึ้นมาจากสัตว์เพราะฉันเชื่อมโยงเรื่องราวของสัตว์เข้าด้วยกัน การฝึกฝนงานศิลปะของฉันมีการวาดภาพสัตว์และประติมากรรมสัตว์ ประติมากรรมสัตว์พวกนี้มาจากสัตว์ที่ฉันเคยเจอหรือสัมผัสเช่น ช้างชื่อเอลลี่ หรือ สัตว์ที่มีเรื่องราวที่ให้แรงบันดาลใจกับฉันในด้านอื่นๆ เช่น แมวน้ำชื่อว่าเฮอร์เชล
ในบรรดาสัตว์ทั้งหมด ฉันเรียกพวกมันว่าเจ้าอ้วน เพราะขนาดตัวที่อ้วนใหญ่ที่มีหน้าที่เป็นสายพันธ์ุที่สำคัญ สายพันธ์ุเหล่านี้คือสิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างระบบนิเวศเพียงการเป็นตัวของพวกมันเอง
สรุปคือฉันคิดว่าเจ้าพวกอ้วนที่เป็นสัตว์สายพันธ์สำคัญของระบบนิเวศเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างโลกที่ดีกว่าเดิม ยิ่งไปกว่านั้น พวกนี้ยังแสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ฉันเชื่อว่าเป็นบทเรียนที่มีค่าของมนุษย์และเราสามารถช่วยโลกนี้ได้ด้วยการเป็นตัวของเราเอง
แต่ฉันก็สงสัยว่าทำไมฉันถึงชอบวาดสัตว์เหล่านี้มากนัก และคำตอบสำหรับฉันคือการนึกย้อนไปถึงสัตว์ในสนามเด็กเล่นในนิวยอร์ก ฉันเชื่อมโยงกับสัตว์เหล่านั้นบนระดับรากหญ้า โดยที่ฉันไม่ได้เชื่อมโยงกับพวกมันในเชิงศิลปะใดๆเลย
อาจจะเพราะสมองโบราณๆของฉัน(ผู้เขียน)ยังไม่เปลี่ยนไปเสียที
บทความโดย: Animals in Art: Why the Pervasive Subject Matter?
บทความนี้เรียบเรียงโดย ณัฐนนท์ อุทัย (บิว น้องฝึกงาน)