สีแดงที่มักเชื่อมโยงกับความเร่าร้อนและความดุดัน หรือสีฟ้าที่ให้ความรู้สึกสงบ สุขุม และดูน่าเชื่อถือ ทุกสีในสายรุ้งล้วนมี ความหมายสี ที่แทบจะเป็นสากล ไม่ว่าคุณจะกำลังออกแบบเว็บไซต์ สร้างแบรนด์ หรือจัดวางภาพในโปรเจกต์ของคุณ สีสามารถส่งพลังบางอย่างให้กับผู้ชมได้แบบที่คำพูดยังหาความหมายไม่ได้ มาหาความลับของ การใช้สี ให้ตรงจุด โดนใจ และทรงพลังขึ้นอีกขั้นด้วยกัน
ทำไม “ความหมายของสี” ถึงสำคัญ
“สี” ใช่ว่าจะมีความหมายเดียวกันทั่วโลก มุมมองต่อสีสามารถเปลี่ยนไปตามวัฒนธรรมได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมืองและประวัติศาสตร์ (อย่างสีของธงชาติ) ความเชื่อทางศาสนา หรือแม้แต่คำพูดเปรียบเปรยในแต่ละภาษาทั้งหมดนี้ล้วนมีผลต่อ ความหมายสี และการตีความของผู้คน

มาสำรวจโลกของ การใช้สี และ ความหมายสี ในแต่ละวัฒนธรรมให้ลึกขึ้นกันก่อนดีกว่า
เมื่อวัฒนธรรมและจิตใจร้อยเรียงเข้ากับ ความหมายของสี
ความหมายสี คือการตีความที่เกิดจากการพัฒนาเชิงวัฒนธรรมของความรู้สึกและจิตวิทยาที่เรามีต่อสีต่างๆ มานานนับพันปี สีบางสีจึงกลายเป็นตัวแทนของความหมายเฉพาะ หรือเหตุการณ์สำคัญในชีวิต บางความหมายเป็นที่ยอมรับกันแทบจะทั่วโลก ขณะที่บางความหมายก็เฉพาะเจาะจงในแต่ละวัฒนธรรม ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังมองไปที่มุมไหนของโลก
เช่น ในวัฒนธรรมตะวันตก สีขาว มักหมายถึงความบริสุทธิ์และความไร้เดียงสา เป็นสีชุดเจ้าสาวยอดนิยม ซึ่งเริ่มต้นจากสมเด็จพระราชินีวิกตอเรียที่สวมชุดแต่งงานสีขาวในปี 1840
แต่ถ้ามองทางฝั่งตะวันออก เช่น ประเทศจีน สีขาว กลับถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับความตาย ดังนั้นเจ้าสาวชาวจีนมักเลือกสวมชุด สีแดง แทน เพราะถือว่าเป็นสีแห่งโชคลาภและความเจริญรุ่งเรือง
เมื่อสีหนึ่งสีอาจมีความหมายต่างกันสุดขั้วในแต่ละวัฒนธรรม การเข้าใจ ความหมายสี จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจสังคมและผู้คนจากทั่วโลกได้ดียิ่งขึ้น

ความหมายของสีในหลายมุมมอง
ถัดจากนี้เราจะพาไปเจาะลึกเรื่อง ความหมายของสี ให้มากขึ้นพร้อมแชร์เคล็ดลับว่า คุณสามารถใช้สีต่าง ๆ เพื่อกระตุ้นอารมณ์หรือความรู้สึกที่ต้องการได้อย่างไรบ้างในการออกแบบหรือสื่อสารของคุณ
สีแดง (Red)
สีแดง คือสีแห่งชีวิต เลือด และผืนแผ่นดิน สีนี้มักถูกใช้แทนพลังดิบเถื่อน ความเร่าร้อน และแรงปรารถนาแบบถึงใจถึงอารมณ์
สีแดงถือเป็นสีสากลของการมีชีวิตอยู่เลยก็ว่าได้ เพราะมันทั้งแรง ทั้งร้อน คนเรามักเชื่อมโยงสีแดงเข้ากับไฟ ความดุดัน และแรงกระตุ้นที่ควบคุมไม่ได้ ในบางวัฒนธรรม สีแดงยังถูกยกให้เป็นสีศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย โดยเฉพาะในการทำพิธีกรรมต่าง ๆ และยังเชื่อมโยงกับพลังในการชำระล้างผ่านไฟอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย

สีชมพู (Pink)
ถ้าสีแดงคือสีแห่งไฟปรารถนา สีชมพูก็เป็นตัวแทนของ “ความรัก” ที่นุ่มนวล อบอุ่น และอ่อนโยน สีนี้มักเชื่อมโยงกับความเป็นผู้หญิง ความเป็นแม่ และเด็กน้อยน่ารัก ๆ
ทุกวันนี้เรามักมองว่า สีชมพู = ผู้หญิง แต่รู้มั้ยว่าก่อนยุค 1920s ที่สหรัฐอเมริกา สีชมพูเคยถูกมองว่าเป็นสีผู้ชายแมน ๆ และนิยมให้เด็กผู้ชายใส่กันด้วยนะ เพราะมันเป็นหนึ่งในเฉดสีของสีแดงซึ่งเป็นสีแห่งพลัง
แต่พอเวลาผ่านไป สีชมพูก็เปลี่ยนบทบาทตัวเองอีกครั้ง กลายเป็นสีที่กลุ่มวัฒนธรรมทางเลือก (alt-culture) นำไปใช้อย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นขบวนการพังก์ยุค 70s หรือชุมชน LGBTQ+ ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20
จะสายหวานหรือสายแสบ สีชมพูก็พร้อมเปล่งประกายในแบบของตัวเองเสมอ

สีเหลือง (Yellow)
สีเหลือง เปรียบเหมือนแสงแดดยามเช้า กับดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ เป็นสีที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น สดใส และเปล่งพลังแห่งความสุข โดยไม่ร้อนแรงดุดันแบบสีแดง แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นแบบนุ่มนวลมากกว่า
ในหลายประเทศทั่วโลก สีเหลืองยังถือว่าเป็นสีแห่งโชคดีอีกด้วย ที่แคนาดาและสหรัฐอเมริกา คนในครอบครัวมักจะผูก ริบบิ้นสีเหลือง ไว้ตามบ้านเพื่อส่งความหวังและกำลังใจให้กับคนที่อยู่ห่างไกล โดยเฉพาะคนที่กำลังเป็นทหารอยู่ในสงคราม
เรียกได้ว่า สีเหลือง คือสีแห่งความหวัง ความอบอุ่น และพลังบวก

สีฟ้า (Blue)
สีฟ้า เป็นสีที่ให้ความรู้สึกเย็น สงบ และนิ่งลึก มักเชื่อมโยงกับความกว้างใหญ่ของท้องฟ้าและท้องทะเล ให้ความรู้สึกมั่นคงและผ่อนคลายไปพร้อมกัน
ในวงล้อสี สีฟ้าอยู่ตรงข้ามกับสีส้มและถือเป็นหนึ่งในเฉดที่เย็นที่สุด ความนิ่ง สุขุมของมันทำให้ทั่วโลกมองว่าสีนี้คือสัญลักษณ์ของเหตุผล ความเป็นกลาง และความอนุรักษ์นิยม
ไม่แปลกที่เราจะเห็นสีฟ้าโดยเฉพาะสีน้ำเงินกรมท่า ถูกใช้เป็นสีประจำของชุดยูนิฟอร์มหน่วยงานราชการ หรือแบรนด์ที่ต้องการความน่าเชื่อถือและมืออาชีพ
เรียบง่ายแต่มีพลัง สีฟ้าคือทางเลือกที่ใช้ได้กับแทบทุกโอกาสและทุกความหมาย

สีเขียว (Green)
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1603 วิลเลียม เชกสเปียร์ เคยใช้คำว่า “สัตว์ประหลาดตาเขียว” เพื่อเปรียบเปรยความอิจฉาในบทละครโศกนาฏกรรมเรื่อง Othello และจนถึงทุกวันนี้ สำนวน “เขียวด้วยความอิจฉา” หรือ green with envy ก็ยังคงเป็นที่ใช้กันในโลกตะวันตก
แต่ใช่ว่าสีเขียวจะมีแต่ความหมายด้านลบนะ เพราะโดยทั่วไปแล้ว สีนี้กลับถูกมองในเชิงบวกมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงความมีชีวิตชีวา เพราะสีเขียวคือสีของธรรมชาติ ใบไม้ และการเจริญเติบโตใหม่ ๆ
พูดง่าย ๆ ว่า สีเขียว อาจจะมีมุมมองความหมายเรื่องความขี้อิจฉานิด ๆ แต่โดยรวมแล้วก็เป็นสัญลักษณ์ของความสดชื่นและพลังชีวิตอย่างแท้จริง

สีดำ (Black)
สีดำ มักถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความตายและการไว้ทุกข์ แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งรีบตีความว่าสีดำจะหม่นหมองเสมอไป เพราะในโลกของการดีไซน์ สีนี้กลับเท่มากโดยเฉพาะกับงานแนวมินิมอล เรียบแต่เฉียบสุด ๆ
จริง ๆ แล้วสีดำไม่ได้มีแค่ความเศร้า แต่มันยังมีความ “คลาสสิก” ที่หลายวงการหลงรัก โดยเฉพาะวงการแฟชั่น ที่ยกให้สีดำเป็นสีอมตะ เพราะช่วยพรางหุ่นให้ดูเพรียว และเป็นพื้นหลังสุดเนี้ยบที่ขับเครื่องประดับให้โดดเด่นขึ้นมาได้แบบง่าย ๆ
สรุปคือสีดำไม่ได้แค่ลึกลับ แต่มันยังมีเสน่ห์แบบเรียบหรูที่ไม่มีวันตกยุค

———————————
ความหมายของสีในแต่ละมุมโลก
สีไม่ใช่แค่เรื่องสวยงาม รู้มั้ยว่าสีเหลืองในจีนไม่ใช่แค่สดใส แต่ยังเกี่ยวโยงกับราชวงศ์สุดยิ่งใหญ่ ส่วนในอียิปต์โบราณ คนเค้าเชื่อว่าสีฟ้ามีพลังวิเศษแบบเครื่องรางเลยทีเดียว สีต่าง ๆ ทั่วโลกไม่ได้มีแค่ไว้แต่งตัวเก๋ ๆ แต่แฝงไปด้วยความเชื่อ จิตวิญญาณ และความหมายลึกซึ้งสุด ๆ

สีแดง: ไฟแห่งอารมณ์
สีแดง แทบจะทั่วโลกเลยที่มองว่าเป็นสีของ “ความเร่าร้อน” ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความหลงใหล หรือความหุนหันพลันแล่น เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะมันพาให้นึกถึงเลือด ก็เลยไม่แปลกที่สีแดงจะถูกโยงกับความรุนแรง ความเซ็กซี่ หรือแม้แต่ความรักแบบลึกซึ้งในวรรณกรรมต่าง ๆ

แต่อย่าเพิ่งรีบสรุปว่าสีแดงจะต้องดราม่าตลอด เพราะในบางวัฒนธรรม สีแดงคือสีของสายมงคล
ในจีน สีแดงคือสีโชคดีสุด ๆ เพราะช่วงตรุษจีนเด็ก ๆ จะได้ “อั่งเปา” ซองแดงใส่เงิน ไว้ใช้ช้อปปิ้งอย่างแฮปปี้ ส่วนเจ้าสาวจีนก็ใส่ชุดแต่งงานสีแดง เพราะเชื่อว่าจะนำความมั่งคั่งมาสู่ชีวิตคู่
ส่วนฝั่งตะวันตก สีแดงมาในมาดโรแมนติก เพราะเป็นสีประจำวันวาเลนไทน์ เป็นตัวแทนแห่งรักและหัวใจพองโต
เฉดสีแดงที่นิยม
คริมสัน: สีแดงสดเข้มและลึกล้ำ มักมาจับคู่กับสีน้ำเงินหรือม่วง
มารูน: สีแดงน้ำตาลเข้ม มาจากคำภาษาฝรั่งเศส marron ที่แปลว่า “เกาลัด”
เวอร์มิเลียน: สีแดงสดหรือแดงสกาเล็ต ที่เคยทำมาจากแร่ซินนาบาร์ที่บดละเอียด
สีแดงมีความโดดเด่นทางสายตาและตัดกันอย่างแรงกับสีอื่น ๆ ทำให้หลายประเทศทั่วโลกใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของการหยุดชะงัก เช่นในสัญญาณไฟจราจร และยังใช้สีแดงเป็นสีเตือนภัยอีกด้วย
ในพจนานุกรมส่วนใหญ่ มักจะเชื่อมโยงสีแดงกับไฟหรือเลือด มันเป็นสีที่หลากหลายมาก ทั้งในแง่บวกและลบ เนื่องจากความแตกต่างระหว่างตะวันออกและตะวันตกในเรื่องโชคดีและสัญญาณเตือน ในตลาดหุ้นของเอเชียตะวันออก สีแดงหมายถึงราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ในตลาดหุ้นของอเมริกาเหนือ สีแดงหมายถึงราคาหุ้นที่ตกลง

นอกจากนี้ ในฝั่งตะวันตก สีแดงยังเกี่ยวข้องกับการเบี่ยงเบนจากความปกติหรือลักษณะพฤติกรรมไม่ดี เช่น การ “จับได้คาหนังคาเขา” หรือ “ธงแดง” ที่หมายถึงสัญญาณเตือนภัย
———————————
สีส้ม: ความศักดิ์สิทธิ์
สีส้มเป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์และจิตวิญญาณในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พระสงฆ์มักจะสวมผ้ากาสาวพัสตร์สีส้มเพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นในทางธรรมะและความศรัทธา
ในวัฒนธรรมตะวันตก สีส้มมักจะเกี่ยวข้องกับวันฮาโลวีนและฤดูใบไม้ร่วง รวมถึงใช้เป็นสีที่มองเห็นได้ชัดเจนสำหรับสัญญาณเตือนภัยและป้ายจราจร

ในหลายวัฒนธรรม สีส้มมีความหมายเชิงบวกเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นสีที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยความหวัง ช่วยทำให้สีแดงที่ดูรุนแรงน้อยลงและให้ความรู้สึกที่เป็นมิตรและผ่อนคลายมากขึ้น
เฉดสีส้มที่นิยม
คอรัล: สีส้มแดงสด เหมือนสีของปะการังทะเล
พีช: สีส้มอ่อนที่อ่อนลงเป็นสีเหลืองจาง ๆ เหมือนสีของผลพีช
แซลมอน: สีส้มอมชมพู ตั้งชื่อตามสีของเนื้อปลาแซลมอน
สีส้มเป็นสีที่มองเห็นได้ง่ายที่สุดในที่แสงน้อย และยังให้ความคมชัดเมื่อวางเทียบกับท้องฟ้าสีฟ้าหรือทะเล การที่เราจะเห็นเสื้อชูชีพ แพยาง หรือห่วงยางเป็นสีส้มสดใสก็ไม่น่าแปลก เพราะสีนี้คือ “สีแห่งความปลอดภัย”
ในฝั่งตะวันตก สีส้มมักจะถูกเชื่อมโยงกับฤดูใบไม้ร่วงและการเก็บเกี่ยว เมื่ออยู่คู่กับสีดำก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของฮาโลวีน ช่วงเวลาที่เชื่อกันว่าโลกทั้งสองจะมีช่องว่างระหว่างกันบางเบากว่าปกติ บางทฤษฎีอธิบายว่า สีส้มและดำถูกเลือกเพราะมันเป็นคู่ตรงข้าม สีส้มแทนความอบอุ่นของชีวิต ส่วนสีดำแทนความมืดของความตาย
วัฒนธรรมตะวันตกยังเชื่อมโยงสีส้มกับความเบิกบานและความสนุกสนาน ตัวตลกมักจะสวมวิกสีส้ม และในภาพวาดทางเทพนิยายก็จะเห็นเทพบาคคัสเทพเจ้าแห่งการทำไวน์ ความอุดมสมบูรณ์ ความบ้าคลั่งทางพิธีกรรมและความหลงใหลในศาสนาสวมชุดสีส้ม
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เช่น ลาว ไทย กัมพูชา และเมียนมาร์) พระสงฆ์ในสายพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทจะสวมผ้ากาสาวพัสตร์สีส้มแดงหรือสีทองอมส้ม ซึ่งเป็นสีที่พระสงฆ์เลือกสวมตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน โดยใช้สีที่มีในขณะนั้น แต่ประเพณีนี้ยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน และถือว่าเป็นสีศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ในพิธีกรรม

ที่เนเธอร์แลนด์มีปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Oranjegekte” หรือ “นิยมเสื้อส้ม” ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงการแข่งขันกีฬาใหญ่ ๆ เช่น กรังด์ปรีซ์ฟอร์มูล่าวัน และวันหยุดประจำปีที่เฉลิมฉลองวันเกิดของพระมหากษัตริย์
เมื่อปรากฏการณ์ “นิยมเสื้อส้ม” มาเยือนชาวดัตช์ พวกเขาจะสวมเสื้อผ้าสีส้มและตกแต่งรถ บ้าน ร้านค้า และถนนด้วยสีส้มให้เต็มไปหมด การเริ่มต้นนี้มีที่มาจากการเฉลิมฉลองราชวงศ์ดัตช์ ราชวงศ์ออเรนจ์-นัสเซา ซึ่งเป็นวิธีแสดงความเคารพและรักต่อราชวงศ์ของพวกเขา
———————————
สีเหลือง: ความหวังและความสดใส
สีเหลืองในวัฒนธรรมตะวันตกสื่อถึงแสงแดดและความหวังอันสดใส แต่ในวัฒนธรรมตะวันออกนั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งและซับซ้อนกว่านั้น ในจีน สีเหลืองเคยถูกเชื่อมโยงกับราชวงศ์และความยิ่งใหญ่
ส่วนในเม็กซิโก สีเหลืองมีทั้งความหมายของชีวิตและความตาย เพราะสีเหลืองสดเป็นสีของข้าวโพดที่ให้ชีวิต และยังหมายถึงความตายตามความเชื่อจากวัฒนธรรมมายา
สีเหลืองก็เลยไม่ใช่แค่สีสันสดใส แต่ยังเต็มไปด้วยความหมายที่แตกต่างไปตามที่มาของแต่ละประเทศ

เฉดสีเหลืองที่นิยม
คานารี: สีเหลืองสดใส คล้ายกับขนของนกคานารี
ทอง: สีเหลืองสดใสบางครั้งมีประกายโลหะ เชื่อมโยงกับความมั่งคั่ง
เลมอนชิฟฟอน: สีเหลืองอ่อนมาก เหมือนสีของพายเลมอนชิฟฟอน
ถ้าต้องการดึงดูดความสนใจจากผู้ชม สีเหลืองคือสีที่มองเห็นได้ชัดที่สุดในสเปกตรัมและเป็นสีแรกที่ดวงตามนุษย์รับรู้
สีเหลืองออคเกอร์ (yellow ochre) มีมานานหลายพันปีและเป็นหนึ่งในสีแรกที่มนุษย์ใช้ในภาพเขียนบนผนังถ้ำ เช่น ภาพวาดม้าสีเหลืองที่ถ้ำลาสโคซ์ในฝรั่งเศส ซึ่งอายุถึง 17,000 ปี
ในสหรัฐฯ แคนาดา และยุโรป คนจำนวนไม่น้อยมองว่าสีเหลืองคือสีแห่งความอ่อนโยน ความเป็นธรรมชาติแบบไม่ปรุงแต่ง แต่ในขณะเดียวกันก็มีอีกมุมที่เชื่อมโยงสีนี้กับความโลภและความไม่จริงใจด้วย
ในวัฒนธรรมอเมริกัน สีเหลืองยังโดนโยงกับความขี้ขลาดอีกต่างหาก คำว่า “yellow-bellied” ใช้เรียกคนที่กลัวเกินเหตุหรือไม่กล้าเผชิญหน้า

แต่ถ้ามาดูที่จีน สีเหลืองมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ จักรพรรดิองค์แรกของจีนคือ “จักรพรรดิองค์เหลือง” พอถึงยุคราชวงศ์ซ่งที่สิ้นสุดในปี 1279 ก็มีแค่จักรพรรดิเท่านั้นที่สามารถใส่สีเหลืองสดได้ พรมเหลืองก็ถูกใช้เพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอย่างสมเกียรติอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ในวัฒนธรรมป๊อปของจีนยุคปัจจุบัน สีเหลืองกลับมีความหมายเปลี่ยนไป กลายเป็นสัญลักษณ์ของเนื้อหาวาบหวิวไปเสียแล้ว คำว่า “หนังเหลือง” ในภาษาจีนก็คือหนังผู้ใหญ่แบบชัดเจนเลย
ฝั่งโพลินีเซีย สีเหลืองกลับมาในมุมที่ศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง เพราะถือว่าเป็นสีที่เกี่ยวข้องกับพลังแห่งเทพเจ้า คำว่า “เหลือง” ในภาษาท้องถิ่นยังใช้เรียกต้นขมิ้นชัน (curcuma longa) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นอาหารที่เหล่าทวยเทพโปรดปรานด้วย
———————————
สีเขียว: สีแห่งการเติบโต (แต่ก็แอบมีดราม่าเล็กน้อย)
สีเขียวมักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของการเจริญเติบโต ชีวิตใหม่ และธรรมชาติในวัฒนธรรมทั่วโลก มองแวบแรกก็ดูสดชื่นและเต็มไปด้วยพลังชีวิต แต่ถ้าลองขุดลึกลงไป สีเขียวก็ไม่ใช่แค่เรื่องสดใสเสมอไป
ในโลกตะวันตก สีเขียวถึงจะถูกโยงกับความอุดมสมบูรณ์และความมีชีวิตชีวา แต่ในอีกมุมหนึ่งก็หมายถึงอาการป่วยหรือความเจ็บไข้ได้ด้วย จะสังเกตเห็นว่าเวลาป่วยเราจะพูดกันว่า “หน้าเขียวแล้วนะ”
ถ้าไปดูนิทานพื้นบ้านของชาวไอริชและประเทศอังกฤษ สีเขียวถูกโยงเข้ากับเรื่องเวทมนตร์และการหลอกลวง ตัวละครในตำนานอย่างเลปราคอนกับ The Green Man มักเป็นพวกเจ้าเล่ห์ ขี้แกล้ง เล่นแง่ เล่นกล แบบที่ไว้ใจไม่ได้ง่าย ๆ

สรุปว่าสีเขียวดูเผิน ๆ อาจจะเป็นธรรมชาติสุดใจ แต่จริง ๆ ก็ซ่อนความซับซ้อนและความขัดแย้งไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว
เฉดสีเขียวที่นิยม
ฟอเรสต์กรีน: เขียวเข้มออกเหลืองนิด ๆ เหมือนต้นไม้ในป่า
ไลม์: เขียวสดแบบมีเหลืองผสม ชื่อมาจากผลมะนาว
โอลีฟ: เขียวเข้มหม่น ๆ อารมณ์เอิร์ธโทน ดูสุขุมและคลาสสิก
ผลสำรวจจากอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป และประเทศในโลกอิสลาม พบว่าคนส่วนใหญ่เชื่อมสีเขียวเข้ากับธรรมชาติ ฤดูใบไม้ผลิ และสุขภาพที่ดี แต่เรื่องมันแอบย้อนแย้งหน่อย เพราะในวัฒนธรรมเดียวกัน สีเขียวก็มักจะถูกใช้แทนความป่วยหรือไม่สบายเหมือนกัน
เคยได้ยินคำว่า “Green around the gills” ไหม คำนี้เอาไว้บรรยายคนที่หน้าซีด ๆ เขียว ๆ ดูแล้วเหมือนกำลังจะอ้วก ไม่สบายแน่ ๆ ถึงแม้จะไม่รู้แน่ชัดว่าคำนี้มาจากไหน แต่น่าจะเกี่ยวกับสีผิวที่เปลี่ยนไปเวลาคนรู้สึกคลื่นไส้
แต่ก็ไม่ใช่มีแต่แง่ลบ เพราะในยุโรปเราจะเห็นเครื่องหมายร้านขายยาที่เป็นเครื่องหมายกากบาทสีเขียว ซึ่งก็สื่อถึงทั้งการรักษาและอาการป่วยไปพร้อมกัน

ในหลายวัฒนธรรม สีเขียวยังหมายถึง “ไปได้” เช่น สัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวก็หมายความว่า รถสามารถเคลื่อนตัวได้หรือในวงการฮอลลีวูด เวลาบอกว่า “greenlight a project” ก็แปลว่าผ่านไฟเขียวให้เริ่มถ่ายทำได้เลย
ในระบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ก็มี “กรีนการ์ด” ที่หมายถึงบัตรอนุญาตให้พำนักอยู่ในประเทศได้ถาวร เห็นไหมว่าสีเขียวมีทั้งพลังของการเริ่มต้นใหม่ การเติบโต และแม้แต่สิทธิในการใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เลยทีเดียว
———————————
สีน้ำเงิน: ความสงบที่ทรงพลัง
สีน้ำเงินเป็นสีที่แทบทุกวัฒนธรรมมองว่าหมายถึงความสงบ ความมั่นคง และอำนาจแบบนุ่มนวล มันเป็นสีที่ทำให้นึกถึงท้องฟ้ากว้างใหญ่กับทะเลลึกนิ่งเงียบ ที่ชวนให้ใจเย็นลงได้ทันที
ในศาสนาโบราณหลายแห่ง สีน้ำเงินถูกมองว่าเป็นสีศักดิ์สิทธิ์หรือสีที่มีพลังคอยปกป้อง เช่น ในอียิปต์โบราณ เชื่อว่าสีน้ำเงินช่วยป้องกันอันตรายในโลกหลังความตาย ส่วนในเมโสโปเตเมียและอัสซีเรียก็ใช้สีน้ำเงินเพื่อขับไล่วิญญาณร้าย
ข้ามมาฝั่งตะวันตก สีน้ำเงินมีภาพลักษณ์ที่จริงจังขึ้นหน่อย โดยมักสื่อถึงอำนาจ ความน่าเชื่อถือ และความเป็นทางการ เราจะเห็นเจ้าหน้าที่รัฐ ตำรวจ หรือแม้แต่นักธุรกิจใส่สูทสีน้ำเงินอยู่บ่อย ๆ เพราะมันให้ความรู้สึกมั่นคงและน่าไว้วางใจแบบไม่ต้องอธิบายใด ๆ

พูดง่าย ๆ ว่าสีน้ำเงินไม่ใช่แค่สงบ แต่ยังแฝงด้วยพลังที่เงียบขรึมและเต็มไปด้วยความหมายลึกซึ้ง
เฉดสีน้ำเงินที่นิยม
เซอรูเลียน: ชื่อฟังดูหรูหรานี้จริง ๆ แล้วมาจากภาษาละติน caeruleum แปลว่า “ท้องฟ้า” หรือ “สวรรค์” เป็นเฉดที่ครอบคลุมตั้งแต่สีฟ้าใสแบบท้องฟ้า ไปจนถึงฟ้าครามและฟ้าอมเขียว
คราม: สีเข้มลึกแบบน่าเกรงขาม เคยเป็นสีย้อมสุดหรูในยุคโบราณ และยังใกล้เคียงกับสีในวงล้อสีที่เราคุ้นเคย
พีริวิงเคิล: ฟ้าอ่อนอมม่วง ได้ชื่อมาจากดอกไม้ที่มีสีหวานละมุนเหมือนกันเป๊ะ
สีน้ำเงินเป็นสีที่กว้างใหญ่และชวนให้คนรู้สึกสงบ เหมือนเวลาเรามองฟ้าหรือทะเลไกล ๆ มันมีพลังที่ช่วยให้เราได้ทบทวนตัวเอง หรือรู้สึกปลอดภัยขึ้นโดยไม่รู้ตัว นี่แหละคือเหตุผลที่เครื่องบินส่วนใหญ่ตกแต่งภายในด้วยสีน้ำเงิน เพื่อปลอบโยนผู้โดยสารที่กลัวความสูงให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น
ในโลกของธุรกิจ สีน้ำเงินยังถูกใช้แทนความเป็นมืออาชีพ ความน่าเชื่อถือ และความมั่นคง ใครอยากได้ลุคดูสุขุมแบบผู้บริหาร มักจะหยิบสูทสีน้ำเงินมาใส่ หรือไม่ก็ใช้ในการออกแบบโลโก้องค์กร
พูดมาขนาดนี้คงไม่แปลกเลยที่องค์การสหประชาชาติ (UN) จะเลือกสีน้ำเงินเป็นสีหลักของธง เพราะมันสื่อถึงความสงบ สันติภาพ และการเจรจา
สีฟ้าไม่ใช่แค่สีสวยนะ แต่มีความหมายทางศาสนาและจิตวิญญาณแบบลึกซึ้งในหลายวัฒนธรรมทั่วโลกเลยทีเดียว
ในอียิปต์โบราณ สีฟ้าเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าและท้องฟ้า เทพอามุนซึ่งเป็นเทพสูงสุดของอียิปต์ (ระดับ King of Gods) เค้าว่ากันว่าเวลาอยากบินข้ามฟ้าแบบเนียน ๆ ไม่ให้ใครเห็น เทพอามุนจะเปลี่ยนผิวให้เป็นสีน้ำเงิน

ฝั่งฮินดูเองก็ไม่แพ้กัน เทพอย่างวิษณุ กฤษณะ และศิวะ มักจะถูกวาดให้มีผิวสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมโยงกับจักรวาล หรือพลังที่อยู่เหนือมนุษย์
แล้วรู้มั้ยว่า “ตาปิศาจ” หรือนาซาร์ (Nazar) ลูกปัดแก้วสีน้ำเงินมีที่มาจากอียิปต์เหมือนกัน เชื่อมโยงกับเทพโอซิริส คนสมัยก่อนเชื่อว่า “ดวงตา” ของโอซิริสมีพลังปกป้องภัยร้ายได้
ทุกวันนี้หลายประเทศไม่ว่าจะเป็นตุรกี กรีซ ปากีสถาน อิหร่าน ฯลฯ ก็ยังเชื่อในพลังของนาซาร์อยู่ เชื่อกันว่าช่วยกันสิ่งชั่วร้าย และนำโชคดีมาให้
———————————
สีม่วง: มนต์มายา
สีม่วงมักถูกมองว่าเป็นตัวแทนของความลึกลับ เวทมนตร์ และความมั่งคั่งในหลาย ๆ วัฒนธรรมทั่วโลก แต่ก็ไม่ได้มีแค่ด้านสวยหรูเสมอไป เพราะในบางประเทศอย่างอิตาลีและบราซิล สีม่วงกลับสื่อถึงความโศกเศร้าและโชคร้าย
ในอดีต สีม่วงเลยถูกมองว่าเป็นสีที่มีความหมายหลากหลาย บางทีก็ขัดแย้งกันเอง ทั้งหรู ทั้งหม่นในเวลาเดียวกัน

แต่ในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา สีม่วงได้บทบาทใหม่แบบเท่ ๆ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลายทางเพศ โดยเฉพาะกับกลุ่มไบเซ็กชวล และชุมชน LGBTQ+ เป็นสีที่แทนความไม่ตายตัว ความเป็นอิสระ และความภาคภูมิใจในตัวตนแบบไม่มีกรอบ
เฉดสีม่วงที่นิยม
ลาเวนเดอร์: ม่วงอ่อนอมฟ้า ดูนุ่มนวลละมุนละไม เป็นสีที่มักจะเชื่อมโยงกับความเป็นผู้หญิง ความอ่อนโยน และกลิ่นหอม ๆ ของดอกไม้ในสวน
โมฟ: ม่วงอมเทาและน้ำเงินเล็ก ๆ มีชื่อมาจากดอกมอว์ หรือดอกฟ้าทะลายโจรฝรั่งนั่นแหละ คลุมโทนเก๋ ๆ แบบวินเทจหน่อย
พลัม: ม่วงเข้มอมแดงหรืออมตาล ได้แรงบันดาลใจมาจากผลพลัมเลย ดูลึกลับ มีพลัง และชิคสุด ๆ
พูดถึงสีม่วงแล้วในยุโรปและอเมริกา สีม่วงมีภาพจำที่แกรนด์มาก ทั้งเวทมนตร์ ความลึกลับ ความเป็นกษัตริย์ ไปจนถึงความศรัทธาทางศาสนา
แต่รู้มั้ยว่าสมัยก่อนผ้าสีม่วงแพงเว่อร์เพราะการผลิต “สีม่วงไทเรียน” ที่ใช้ย้อมผ้าต้องใช้หอยตัวจิ๋วเก้าพันตัว ถึงจะได้สีย้อมแค่ 1 กรัมเท่านั้น แถมสีนี้ยังมาจากเมืองไทร์ เมืองท่าการค้าของชาวฟินิเชียน ตั้งแต่ 1,200 ปีก่อนคริสตกาล

ด้วยความหายากและกระบวนการสุดอลัง สีม่วงเลยกลายเป็นสีของคนชนชั้นสูงเท่านั้น ต้องเป็นจักรพรรดิโรมัน ฟาโรห์อียิปต์ หรือราชวงศ์เปอร์เซียถึงจะได้ใส่ เรียกได้ว่าเป็น “สีของคนมีอำนาจ” ของจริง
ทุกวันนี้ ถึงจะผลิตได้ง่ายขึ้น แต่ความรู้สึกหรูหรา เอกสิทธิ์เฉพาะคนพิเศษของสีม่วงก็ยังไม่หายไปไหน
สีม่วงเกิดจากการผสมระหว่างสีแดงกับสีน้ำเงิน ซึ่งพอเป็นแบบนี้ สีม่วงเลยมักจะให้ความรู้สึกคลุมเครือ น่าค้นหา หรือมีความหมายที่ตีความได้หลายแบบ ไม่ชัดเจนแค่ขาวหรือดำ
ในมุมหนึ่ง สีม่วงก็ถูกเชื่อมโยงกับ ไบเซ็กชวล ด้วย เพราะในธงไบเซ็กชวล เขาเอาสีชมพู (แทนความรักเพศเดียวกัน) มาผสมกับสีน้ำเงิน (แทนความรักต่างเพศ) ออกมาเป็นม่วงพอดีเลย เป็นสัญลักษณ์ของความหลากหลายที่อยู่ตรงกลางพอดีเป๊ะ
พูดถึงการผสมสีแล้ว ที่อเมริกาก็มีอีกความหมายหนึ่ง คือคำว่า “รัฐม่วง” (Purple State) หมายถึงรัฐที่มีทั้งพรรครีพับลิกัน (สีแดง) กับเดโมแครต (สีน้ำเงิน) ผลัดกันชนะ สูสีกันมาก ๆ เลยได้ชื่อว่า “ม่วง” ไปเลย
แต่เดี๋ยวก่อน! สีม่วงไม่ได้มีแค่ด้านชิค ๆ หรูหราเท่านั้น เพราะในหลายวัฒนธรรม สีม่วงก็สื่อถึง ความตายหรือการไว้ทุกข์ เหมือนกัน
– ในไทย หญิงหม้าย นิยมใส่สีม่วงเวลาไว้ทุกข์
– ที่ บราซิล ชาวคาทอลิกเคร่ง ๆ ก็ใส่สีม่วงเวลาไปงานศพเช่นกัน
– อิตาลี ม่วงคือสีของงานศพแบบ 100% จนถึงขั้นว่าเอากระดาษห่อของขวัญสีม่วงไปให้ใคร ถือว่าไม่สุภาพ แถมเจ้าสาวชาวอิตาเลียนก็เลี่ยงใส่สีม่วงในงานแต่งเด็ดขาด
และที่แปลกแต่จริง… ไปดูโอเปร่าในอิตาลี ห้ามใส่ม่วงเพราะเขาถือว่าเป็นลางร้ายเลยทีเดียว
———————————
สีขาว: ความบริสุทธิ์
ในโลกฝั่งตะวันตก สีขาวมักจะถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของ ความบริสุทธิ์ ความไร้เดียงสา เจ้าสาวถึงใส่ชุดขาวกันเป็นธรรมเนียมดั้งเดิม ซึ่งโยงกับแนวคิดเรื่อง “พรหมจรรย์” ในวันแต่งงาน
แต่พอข้ามมาฝั่งตะวันออก ปุ๊บ… ความหมายเปลี่ยนคนละขั้วเลย ในหลายวัฒนธรรมเอเชีย สีขาวกลับเป็น สีแห่งความตาย ความโศกเศร้า และสิ่งเหนือธรรมชาติ อย่างในจีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ไทยเอง ชุดไว้ทุกข์ก็มักจะเป็นสีขาว
สรุปแล้วสีขาวไม่ใช่แค่สีพื้นเปล่า ๆ หรือสีที่ “ไม่มีอะไร” อย่างที่หลายคนคิดแต่กลับตรงกันข้ามเลย มันเป็นหนึ่งในสีที่แบกความหมายทางวัฒนธรรมไว้เยอะสุด ๆ และบางทีก็ตีความได้แบบสุดขั้วด้วยซ้ำ

เฉดสีขาวที่นิยม
ครีม: สีขาวผสมเหลืองนิด ๆ ได้ชื่อมาจากครีมสดที่ได้จากนมวัวนั่นแหละ ดูอบอุ่นละมุนเหมือนขนมเบา ๆ
เปลือกไข่: ขาวอมเหลืองนวล ๆ แบบเปลือกไข่ และไม่ค่อยมีความเงาเลย เป็นเฉดที่ดูนุ่มสายตาและธรรมชาติ
งาช้าง: ขาวอมเหลืองอ่อน ๆ จางมาก ๆ ได้ชื่อตามงาช้างหรือฟันสัตว์ เป็นเฉดที่ให้ความรู้สึกหรูหราแบบคลาสสิก
แม้ “สีขาว” จะดูเหมือนไม่มีสี แต่ในทางสัญลักษณ์ สีขาวกลับมีความหมายเยอะและทรงพลังมาก โดยเฉพาะในฝั่งตะวันตก ที่มักมองว่าสีขาวเป็นตัวแทนของ ความสมบูรณ์แบบ ความบริสุทธิ์ และความเป็นกลาง
ในศาสนาคริสต์เด็กที่รับศีลล้างบาป จะใส่ชุดขาวเพื่อแสดงถึงการชำระจิตวิญญาณให้สะอาดบริสุทธิ์ พระสันตะปาปา หัวหน้าคริสตจักรโรมันคาทอลิก ก็ใส่ชุดขาวมาตั้งแต่ปี 1566 เพื่อแสดงถึงการอุทิศตนและความเสียสละเพื่อศาสนา
ฝั่งศาสนาอิสลามก็มีเช่นกัน ผู้แสวงบุญที่ไปฮัจญ์ จะสวมชุด “เอี๊ยะห์รอม” ซึ่งเป็นผ้าสีขาวเรียบง่าย แสดงถึงแนวคิดว่า “ต่อหน้าพระเจ้า ทุกคนเท่าเทียมกันหมด” ไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหน

ในกลุ่มชาว เบดูอิน (พวกชนเผ่าเร่ร่อนที่พูดภาษาอาหรับ อาศัยอยู่ในทะเลทรายตะวันออกกลาง) สีขาวไม่ได้สื่อแค่ความเรียบง่ายหรือบริสุทธิ์นะ แต่เกี่ยวข้องกับ “น้ำนม” โดยตรงเพราะ “นมอูฐ” คือของสำคัญที่ช่วยให้มีชีวิตรอดท่ามกลางทะเลทรายสุดโหด
นมอูฐนั้นไม่ธรรมดา ทั้งอุดมด้วยสารอาหาร ช่วยเสริมกระดูก แถมยังบูสต์ภูมิคุ้มกัน เพราะงั้นในสายตาของชาวเบดูอิน สีขาวเลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความขอบคุณ ความอุดมสมบูรณ์ และความสุข
พูดถึงเรื่องเจ้าสาวในชุดขาว หลายคนก็อาจนึกถึงธรรมเนียมฝั่งตะวันตกที่เจ้าสาวใส่ชุดขาวในงานแต่ง ความเชื่อนี้มีมาตั้งแต่ สมัยสาธารณรัฐโรมันกว่า 2,000 ปี ที่เจ้าสาวใส่ ชุดทูนิคสีขาว เพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์
แต่ถ้าถามว่าใครทำให้ “เจ้าสาวชุดขาว” กลายเป็นเทรนด์ฮิตทั่วโลก ต้องยกเครดิตให้ ควีนวิกตอเรีย แห่งประเทศอังกฤษในปี 1840 พระองค์เลือกใส่ชุดลูกไม้สีขาวในพิธีแต่งงาน แทนที่จะใส่ชุดคลุมราชวงศ์แบบเดิม ๆ ผลคือกลายเป็นแฟชั่นระดับประวัติศาสตร์ทันที
แต่สีขาวก็ไม่ได้มีแต่ภาพดี ๆ เสมอไป ในหลายวัฒนธรรม สีขาวยังเป็น สีของความตาย ผี และวิญญาณ อีกด้วย อย่างภาษาอังกฤษที่บอกว่า “pale as a ghost” ก็คือขาวซีดจนเหมือนผี
ย้อนกลับไปไกลกว่านั้น อียิปต์โบราณ ก็มองว่าสีขาวคือสัญลักษณ์ของความตาย เพราะทะเลทรายที่แห้งแล้งและไร้ชีวิตก็มีโทนซีดจางแบบสีขาวเหมือนกัน
———————————
สีดำ: ความเจ็บป่วยหรือความตาย
สีดำเป็นสัญลักษณ์ของความตายและความลึกลับในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก เป็นสีที่มืดที่สุด ซึ่งแสดงถึงสิ่งที่ไม่รู้ ไม่แน่นอน หรือสิ่งที่ซ่อนอยู่ในโลกนี้ เป็นสีของยามค่ำคืนและใต้พิภพ ซึ่งมักถือเป็นดินแดนของความตายในความเชื่อดั้งเดิมหลายแห่ง
แต่สีดำก็มีแง่บวกเช่นกัน ถึงแม้ว่ามักจะเกี่ยวข้องกับความตายและสิ่งเหนือธรรมชาติ ในสังคมตะวันตก แฟชั่นสมัยใหม่ได้ปรับเปลี่ยนสีดำให้กลายเป็นสีที่มีความหรูหรา และนำไปสู่สัญลักษณ์แห่งความเก๋ไก๋ในแฟชั่นปารีส นั่นคือ “เดรสสีดำ” (Little Black Dress)

เฉดสีดำที่นิยม
อีโบนี: สีดำเข้ม, เกี่ยวข้องกับไม้สีดำที่มาจากต้นสุก
เจ็ทแบล็ก: สีดำมันเงาและมืดสนิท, หมายถึงวัสดุทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า “เจ็ท”
ซาเบิล: สีดำที่มีเฉดสีน้ำตาลเข้ม, เกี่ยวข้องกับขนของสัตว์ตัวเล็กที่มีชื่อเดียวกัน สีดำเป็นสีที่มืดที่สุด เป็นผลมาจากการขาดหายไปหรือการดูดซับแสงที่มองเห็นได้ทั้งหมด
ในยุโรปและอเมริกาเหนือ มักจะเชื่อมโยงสีดำกับการไว้ทุกข์, เวทมนตร์, ความชั่วร้าย, ความหรูหรา, และความตาย หลายศาสนาเชื่อว่าโลกถูกสร้างขึ้นจากความมืดดั้งเดิม
ในเทววิทยาคริสต์กล่าวว่า สีดำคือสีของจักรวาลก่อนที่พระเจ้าจะสร้างแสง

กาลี (เทพธิดาฮินดูแห่งเวลา การเปลี่ยนแปลง และความตาย) มีผิวสีดำหรือสีน้ำเงินเข้ม ชื่อภาษาสันสกฤตของเธอแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “ผู้ที่เป็นสีดำ” หรือ “ผู้ที่เป็นความตาย”
ในอินเดีย สีดำยังถือเป็นสีแห่งการปกป้องจากความชั่วร้าย โดยมักจะทาจุดสีดำใต้คางหรือหลังหูของคนเพื่อป้องกัน “ตามอง” หรือการมองด้วยเจตนาร้าย.
ชาวญี่ปุ่นเชื่อมโยงสีดำกับความลึกลับ กับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ สิ่งที่ไม่รู้ และสิ่งที่มองไม่เห็น รวมถึงความตาย ในศตวรรษที่ 10 และ 11 เชื่อกันว่าการสวมใส่สีดำจะนำโชคร้ายมา ดังนั้นจึงมีเพียงพวกที่ทรยศหรือผู้ที่สละทรัพย์สินทางโลกเท่านั้นที่กล้าใส่สีนี้ในราชสำนัก
ในตะวันออก สีดำยังเป็นสัญลักษณ์ของประสบการณ์และทักษะ เช่น เข็มขัดดำในศิลปะการต่อสู้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดที่สามารถบรรลุได้

ในประเทศจีน สีดำเกี่ยวข้องกับน้ำ ฤดูหนาว ความเย็น และทิศทางเหนือ เมื่อจักรพรรดิองค์แรกของจีน ฉินซีฮวง ได้ยึดอำนาจ เขาได้เปลี่ยนสีจักรพรรดิจากสีแดงเป็นสีดำ โดยกล่าวว่า สีดำทำให้สีแดงมอดดับ (สีนี้ต่อมาได้ถูกเปลี่ยนกลับเป็นสีแดงในปี 206 ก่อนคริสต์ศักราช)
แม้หลายคนจะเชื่อมโยงสีดำกับความตาย แต่ชาวอียิปต์โบราณกลับเชื่อมโยงสีดำกับชีวิตในเชิงบวก เนื่องจากดินสีดำที่อุดมสมบูรณ์ที่ท่วมท้นแม่น้ำไนล์ มันยังเป็นสีของเทพเจ้าอานูบิส (ผู้ปกครองแห่งยมโลก) ที่มีรูปร่างเป็นสุนัขจิ้งจอกดำและให้การปกป้องแก่ผู้ตายจากความชั่วร้าย
———————————
สีคือสิ่งที่มนุษย์นิยามให้กับตัวมันเอง และมีอิทธิพลมากมายในชีวิตเรา ไม่ว่าจะเป็นการบ่งบอกความรู้สึก ประสบการณ์ หรือแม้แต่การสื่อสารกับคนอื่นๆ ทุกวัฒนธรรมก็มีการตีความสีแตกต่างกันไป
ต้องการภาพที่มีโทนสีตรงใจ? Number 24 x Shutterstock พร้อมช่วยคุณค้นหาภาพในแบบที่ต้องการได้ทันที ไม่ว่าคุณจะอยากได้ภาพโทนสีฟ้าในฝัน สีแดงแรงฤทธิ์หรือสีที่มีความหมายพิเศษสำหรับโปรเจกต์ของคุณ Number 24 x Shutterstock เชี่ยวชาญการค้นหาภาพที่ตรงตามความต้องการของคุณได้อย่างรวดเร็ว
ติดต่อเราวันนี้เพื่อเริ่มต้นค้นหาภาพที่ใช่สำหรับงานของคุณ!
Inbox : http://m.me/number24.co.th
LINE Official Account : https://line.me/R/ti/p/@klj9484n
Instagram : https://www.instagram.com/number24.co.th
Website : https://number24.co.th/
บทความโดย : The Meaning of Colors in Cultures Around the World
เรียบเรียงโดย : ทีมงานชัตเตอร์สต็อกประเทศไทย ดำเนินงานโดย นัมเบอร์ 24