เชิญพบกับเทรนด์การออกแบบที่น่าสนใจในสังคมครีเอทีฟ และพวกเขาจะนำเทรนด์เหล่านี้มาใช้อย่างไรได้บ้าง?
การออกแบบสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็วและไร้สิ้นสุด ถูกแทนที่หรือถูกเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เป็นอุตสาหกรรมที่อยู่กับที่ไม่ได้ เพราะโลกใบนี้ต้องการสิ่งใหม่ตลอดเวลา
คงเคยได้ยินกันมาบ่อยครั้งว่าความคิดสร้างสรรค์ล้วนเกิดขึ้นมาจากไอเดียที่ไร้ที่สิ้นสุด แต่ไอเดียนั้นจะเกิดได้ต้องผ่านการไตร่ตรองโดยมนุษย์ผ่านการออกแบบ ที่สามารถตอบโจทย์สังคมและส่งผลกระทบบริเวณกว้างได้
มาทำความรู้จักกับเทรนด์ที่สังคมครีเอทีฟพูดคุยกันอย่างช้านานกันดีกว่า ว่าพวกเขานั้นใช้เทรนด์เหล่านี้ในการเปลี่ยนแปลงโลกด้วยการออกแบบอย่างไร
1.ความหลากหลายและการไม่แบ่งแยก: ออกแบบโลกนี้ให้เหมาะกับผู้ที่มีความหลากหลายมากขึ้นฝ
ทุกอย่างเป็นเรื่องง่ายถ้าเรามองข้ามความหลากหลายไป แต่ในแวดวงการออกแบบนี่คือสิ่งที่มองข้ามไม่ได้ เพราะนี่คือสิ่งที่เป็นเสาหลักขั้นพื้นฐานของอุตสาหกรรม
แวดวงครีเอทีฟตระหนักถึงบทบาทของการออกแบบในยุคอดีต ที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อความหลากหลายและครอบคลุมเพียงพอ ทำให้ปัจจุบันพวกเขากำลังแก้ไขข้อผิดพลาดเหล่านั้น
ในอดีตเราอาจจะออกแบบอะไรบางอย่างออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว ว่ากำลังทอดทิ้งกลุ่มคนบางประเภทที่ไม่สามารถใช้งานได้ การเผชิญหน้ากับปัญหาเหล่านี้ จะทำให้ทุกคนสามารถออกแบบสินค้าและบริการที่เข้าถึงกลุ่มคนได้หลากหลายและกว้างขึ้น
ตัวอย่างเช่น โปรเจค “Lighthouse” ของ AirBNB ที่ต้องการหาบ้านที่รองรับผู้พิการบนแพลตฟอร์มของตน เป็นต้น
2.ความยั่งยืนในงานออกแบบ: เพื่อวันพรุ่งนี้ที่เขียวขจี
อุตสาหกรรมทุกประเภทต่างเปิดรับความยั่งยืนเข้ามามีส่วนในธุรกิจ ความยั่งยืนในงานออกแบบไม่ใช่แค่เทรนด์ที่มาแล้วก็ไป แต่คือสิ่งที่จะคงอยู่ไปจนถึงอนาคตของเรา
คุณสามารถสื่อสารสิ่งนี้ออกไปในทุกงานออกแบบ ถ้าสื่อออกไปแค่ข้อความแต่ไม่ลงมือกระทำจะเกิดประโยชน์อะไรจริงไหม? วิธีการง่าย ๆ เช่น ลดการทิ้งของเสีย ใช้วัสดุเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือสร้างสิ่งสามารถใช้ซ้ำแล้วซ้ำอีกได้
โดยปกติหลายอุตสาหกรรมจะมีมาตรการ “รับ/สร้าง/กำจัด” เป็นหลักปฏิบัติเหนือสิ่งอื่นใด เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเขายั่งยืนตราบนานเท่านาน รวมถึงที่มาของวัสดุที่รับมาผลิตและการรีไซเคิลของเสียเหลือทิ้งอีกด้วย
นี่ไม่ใช่แค่แนวคิดการตลาดเท่านั้น แต่นักออกแบบพบว่าอุตสาหกรรมไหนใช้ความยั่งยืนเป็นตัวชูโรงหลัก จะช่วยเพิ่มกำไรได้มาก และช่วยรักษาโลกใบนี้ให้อยู่กับคนรุ่นต่อ ๆ ไปได้ด้วย
บริษัท Apple เป็นองค์กรที่มุ่งเน้นด้านการออกแบบที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งยึดถือเรื่องความยั่งยืนมาอย่างยาวนาน สำนักงานใหญ่ของ Apple ในเมือง Cupertino ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% และกำลังจะทำให้สายการผลิตของพวกเขารวมถึงซัพพลายเออร์ทั้งหมด ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ในปี 2573
3.ใช้ AI กับงานออกแบบ: ความพยายามของมนุษย์และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมาบรรจบกัน
AI ไม่ใช่กลายเป็นแค่เครื่องมือ แต่ตอนนี้กลายเป็นครีเอทีฟพาร์ทเนอร์ไปเรียบร้อย นับเป็นความท้าทายอย่างมากเพราะตอนนี้เรายังอยู่ในยุคตั้งไข่ของ AI ที่จะนำมาใช้กับงานครีเอทีฟ
สิ่งนี้ช่วยให้นักออกแบบใช้เวลาโฟกัสกับการออกแบบระดับที่สูงกว่าได้ แทนที่จะต้องจมกับงานยิบย่อยที่เกิดขึ้นตามขั้นตอน แต่เครื่องมือนี้ก็ต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบในการใช้งานที่มากขึ้น งานมีความสวยงามขึ้น และต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ที่ยิ่งกว่าเดิม
เช่นเดียวกับเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตก็คือ การมาถึงของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่ไม่ถูกควบคุมโดยกฎหมาย และอาจไม่ถูกใจใครบางคน ทำให้เกิดความกังวลในการใช้งาน และอาจถูกนำไปใช้งานในทางที่ผิด ทำให้เกิดความเสี่ยงกับทั้งอุตสาหกรรมจากการกระทำแค่ไม่กี่คน แถมเข้าถึงยากเพราะใช่ว่าทุกคนจะเข้าใจหลักการใช้งานเทคโนโลยีใหม่เสมอไป
ทำให้ Shutterstock เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อสื่อสารเจตนาที่ดีของ AI ที่จะมาช่วยสนับสนุนนักออกแบบและครีเอทีฟในการคิดสร้างสรรค์ผลงานได้รวดเร็วขึ้น การออกมาสนับสนุนการใช้ AI และรูปภาพที่สร้างโดย AI คือจุดเริ่มต้น ที่จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชีวิตนักออกแบบให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
4.โควิด: ผลกระทบอันใหญ่หลวงต่อโลกใบนี้
แม้ว่าโรคโควิดจะผ่านไปนานมากแล้ว นั่นไม่ได้หมายความว่าผลกระทบจะหายไป
อย่างแรกคือสิ่งนี้บังคับให้เราต้องออกแบบวิธีการทำงานใหม่ ๆ โดยปกติแล้วนักออกแบบมักรวมตัวกันเป็นกลุ่มเพื่อหาไอเดียกัน แต่กลายเป็นว่าไม่สามารถออกไปเจอได้แบบเดิมแล้ว
โรคระบาดยังทำให้เราเห็นว่าสุขภาพคือสิ่งสำคัญมากขึ้น ความสำคัญของการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มุ่งเน้นด้านสุขภาพจึงสำคัญมากขึ้น
Zoom และโปรแกรมอื่น ๆ ที่ใช้ประชุมทางไกลมีความสำคัญอย่างมากในยุคแพร่ระบาด กลายเป็นเหมือนแขนขาที่หลาย ๆ คนขาดไม่ได้ในการติดต่องานทางไกล
อีกเรื่องก็คือหลายผลิตภัณฑ์เริ่มให้ความสำคัญอินเทอร์เฟซแบบไร้การสัมผัสมากขึ้น พื้นที่ต่าง ๆ เริ่มได้รับการออกแบบให้ระบายอากาศได้ดี เพื่อรองรับการแพร่ระบาดของเชื้อโรค
ปัจจุบันเทรนด์นี้กลายเป็นสิ่งที่ยังคงอยู่ เพื่อส่งเสริมพร้อมปรับปรุงการเป็นอยู่และสุขภาพของเราให้ดีขึ้น ทำให้เราทำงานได้ยืดหยุ่นขึ้น และอิสระมากขึ้น
5.สุขภาพจิตใจกับการออกแบบ: การบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์และความชัดเจนของจิตใจ
แม้ว่าอุตสาหกรรมการออกแบบจะมีแรงกดดันที่สูง ต่อให้คุณรีบคิดไอเดียออกมาก็ตามแต่ “ไอเดียแรกของคุณไม่มีทางดีที่สุด” แม้จะใช้เวลาคิดนานแค่ไหน แต่ผลลัพธ์อาจตรงกันข้ามก็เป็นได้ ระยะเวลาส่งงานที่กระชั้นชิดและการที่จะต้องหาไอเดียอย่างต่อเนื่อง อาการเบิร์นเอาต์จึงกลายเป็นเรื่องปกติ
เนื่องจากสุขภาพจิตกลายเป็นเทรนด์หลัก ทำให้เกิดหลาย ๆ โครงการเพื่อช่วยกลุ่มคนที่เกิดสภาวะเบิร์นเอาต์ ให้ครีเอทีฟและนักออกแบบมีเวลาในการออกแบบงาน ให้สอดคล้องกับสภาพร่างกายและจิตใจตัวเองมากขึ้น
นายจ้างหลายองค์กรมองเห็นปัญหาเรื่องสุขภาพของลูกจ้างมากขึ้น ถึงแม้เรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ควรคุยกันมาตั้งแต่ในอดีตแล้วก็ตาม ปัจจุบันแนวคิดเรื่องสุขภาพจิตเริ่มส่งผลต่อทุกคนในองค์กรรวมถึงลูกค้าของพวกเขาด้วย
ผู้คนในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และการออกแบบ มีปัญหาเกี่ยวข้องกับโรคประสาทมากเกินปกติ ความคิดสร้างสรรค์คือทักษะอันทรงคุณค่าที่ต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม อุตสาหกรรมต่าง ๆ จึงต้องเริ่มเข้าใจกลุ่มคนเหล่านี้ให้มากขึ้น และได้รับการสนับสนุนยิ่งกว่านี้
6.ผู้ใช้คือศูนย์กลางการออกแบบ: มนุษย์คือผู้ถือครอง
แม้ว่าทุกการออกแบบจะเน้นที่ผู้ใช้งานเป็นมนุษย์ แต่หลายแอปพลิเคชั่นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และนักออกแบบจะต้องใช้เวลาในการคิดว่าจะทำให้ผู้ใช้บริการใช้งานง่ายขึ้น ด้วยการออกแบบของพวกเขา
วิธีก็คือเราต้องมองว่าผู้ใช้งานคือศูนย์กลางการออกแบบ และจะทำอย่างไรให้กลุ่มคนนั้นใช้งานได้ง่ายที่สุด นี่คือหัวข้อที่เราสามารถพูดคุยกันได้ไปจนกว่าโลกนี้จะแตก
แน่นอนว่าการออกแบบที่ไม่ดีจะทำให้ผู้คนใช้งานยาก และอาจส่งผลให้สูญเสียกำไรอันไม่สมควร ทุกคนควรคุยกันให้บ่อยยิ่งขึ้นเพื่อถกเถียงประเด็นการออกแบบ ว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าของตนใช้งานง่าย ไม่ใช่ผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ
7.การออกแบบเพื่อประโยชน์ทางสังคม: สร้างโลกที่ดีกว่าให้น่าอยู่
โลกของเราเต็มไปด้วยความท้าทาย และการออกแบบที่ดีจะมาช่วยแก้ปัญหาความท้าทายเหล่านั้น การออกแบบเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการสื่อสาร แต่เราจะออกแบบผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จากโลกรอบตัวอย่างไร
การออกแบบเพื่อสังคมคือการเคลื่อนไหวที่ทรงพลัง เพื่อเผชิญหน้ากับปัญหาในสังคม เช่น สภาพอากาศ ความขัดแย้ง การเหยียดเชื้อชาติ การศึกษา และการเข้าถึงการรักษาพยาบาลสำหรับทุกคน
เช่น พื้นที่ปลอดภัยสำหรับบุคคลข้ามเพศ การเดินทางที่รองรับผู้พิการทางกายภาพ การใช้งานแอปพลิเคชั่นสำหรับผู้พิการทางสายตา และชุมชนที่เข้าถึงสถานรักษาพยาบาลได้สะดวกปลอดภัย
วิธีการออกแบบเหล่านี้จะช่วยทั้งด้านการสื่อสาร การออกแบบในอุตสาหกรรม และการศึกษาให้เข้าถึงได้ง่าย เพื่อสร้างผลกระทบต่อการใช้ชีวิตต่อจากนี้ไป ให้มองว่าอุปสรรคคือสิ่งที่เราต้องแก้ไข นักออกแบบมีส่วนช่วยให้โลกใบนี้น่าอยู่ขึ้น
8. การออกแบบและความขัดแย้ง: เชื่อมช่องว่างให้โลกแห่งความขัดแย้ง
สงครามโลกครั้งที่ 2 คือสงครามที่ควรจะเป็น “สงครามที่จบสิ้นทุกสงครามบนโลก” แต่ในปี 2023 เรายังคงพบความขัดแย้งอยู่ทั่วไปบนโลกนี้
การสื่อสารคือสิ่งที่เราต้องการใช้ลดความขัดแย้ง ในช่วงเวลาสงครามยิ่งกลายเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อลดความตึงเครียดในที่อยู่อาศัยให้รู้สึกสงบมากขึ้น
แต่การสื่อสารก็สามารถสร้างความขัดแย้งได้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่นักออกแบบมักถ่ายทอดผลลัพธ์จากสงคราม ให้เป็นภาพที่มีมนุษยธรรมมากขึ้น มากกว่าการถ่ายทอดให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง
แค่เปลี่ยนมุมมองการถ่ายทอด ก็สามารถนำพาความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้
บางคนมองว่าการออกแบบเป็นพลังที่ไม่มีพิษภัย แต่ในประวัติศาสตร์คุณจะเห็นว่าการออกแบบส่งผลอย่างไรบ้างต่อโลกของเรา
ปัจจุบัน ขอบเขตความขัดแย้งเกิดขึ้นมากกว่าครั้งอื่น ๆ การออกแบบเพื่อใช้สื่อสารอย่างชัดเจนและโปร่งใสอย่างต่อเนื่องคือสิ่งสำคัญ เพื่อให้เกิดการยอมรับขึ้นซึ่งกันและกันได้เร็วที่สุด
9. การตลาดและการโฆษณาอย่างมีจริยธรรม: สร้างความไว้วางใจในโลกดิจิทัล
การพูดเกินจริงคือส่วนหนึ่งของโฆษณาและการตลาดมาโดยตลอด เช่น “คำแนะนำในการทำอาหาร” บนบรรจุภัณฑ์สุดสวยงามที่ถูกออกแบบมาอย่างดี ซึ่งถ้าคุณไม่ทำตามอย่างถูกต้องอาจไม่ได้หน้าตาอาหารที่สวยงามแบบในภาพบรรจุภัณฑ์
ดังนั้น ความตึงเครียดสำหรับนักออกแบบมักจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างการสร้างสรรค์ผลงาน และการสื่อสารให้ตรงความต้องการของบริษัท กับผู้บริโภคที่อาจเกิดการเข้าใจผิดเพราะเราขายคำโฆษณาเกินจริง
แต่ในยุคปัจจุบันในโลกสมัยใหม่ ที่ ๆ มีข้อมูลปลอมอยู่ทุกที่ และข้อมูลที่เป็นจริงถูกคุกคามทุกวัน ทำให้นักออกแบบอาจสร้างงานที่ผิด ๆ จากข้อมูลเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว
ทำให้สังคมครีเอทีฟเริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องความท้าทายทางจริยธรรม เราจะสร้างผลงานให้ดีที่สุดอย่างไรโดยที่ลูกค้าไม่สวนกลับมา จะสื่อสารอย่างไรให้รัดกุม ลูกค้าจะได้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจด้วยวิธีใด เราจะมอบทางเลือกให้ลูกค้าอย่างไรโดยที่ลูกค้าไม่รู้สึกถูกกดดันมากจนเกินไป
10. การออกแบบด้านการศึกษา: การปลูกฝังเรื่องความน่าสงสัย
แนวคิดที่ว่านักออกแบบคืออะไรกำลังถูกเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ในอดีตนักออกแบบก็คือช่างฝีมือที่มีมาแต่โบราณ มีช่างฝีมือต่าง ๆ มากมายอยู่บนโลกแต่ถูกเรียกรวม ๆ กันว่า “นักออกแบบ”
บ่อยครั้งที่คำอธิบายลักษณะงานนักออกแบบมักรวมหลายอย่าง เช่น การออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ UI UX แอนิเมชั่น การออกแบบเว็บไซต์ การใช้ AI การสร้างคอนเทนต์ ใช้โซเชียลมีเดียสร้างแบรนด์ ฯลฯ
สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามว่า คนรุ่นต่อไปจะต้องพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้ได้ทั้งหมดเลยหรือไม่? เพื่อที่จะเข้าสู่โลกแห่งการทำงานได้
เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ สถาบันการศึกษาหลายที่จึงต้องติดต่อกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่พวกเขาสอน นักเรียนจะนำไปใช้ในอนาคตได้ เป็นวิวัฒนาการของการศึกษาที่ก้าวไปอีกขั้น เพื่อรองรับธุรกิจที่ปรับตัว ให้ทุกคนทราบเรื่องรอบตัว ด้านเทคโนโลยี และมีความเฉียบแหลมทางธุรกิจยิ่งขึ้น
แม้ว่าปัจจุบันเราจะยังไม่พบวิธีที่ดีที่สุดในการสอนคนรุ่นใหม่ ๆ แต่คนทุกสมัยต่างเริ่มต้นชีวิตที่แตกต่างกัน อุตสาหกรรมก็ต้องปรับตัวให้ทันกับคนยุคใหม่เช่นกัน เพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้นนั่นเอง
การออกแบบเพื่อวันพรุ่งนี้
หัวข้อนี้ไม่เพียงแค่พูดเรื่องการออกแบบ แต่ยังกล่าวถึงการสร้างอนาคตของเรา สังคมครีเอทีฟเริ่มให้ความสนใจกับความหลากหลาย ความยั่งยืน จริยธรรม และผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยเทคโนโลยี AI มากขึ้น รวมถึฝการออกแบบสามารถสร้างความสันติ ให้เกิดขึ้นท่ามกลางสงครามได้อย่างเงียบ ๆ
อย่าลืมนำเทรนด์เหล่านี้ไปผสมผสานในงานของคุณ ไม่แน่ว่าไอเดียเหล่านี้อาจเข้าถึงกลุ่มคนที่คุณคิดไม่ถึงก็ได้
บทความโดย : 10 Design Trends and Discussions in the Creative Community
เรียบเรียงโดย : ทีมงานชัตเตอร์สต็อกประเทศไทย ดำเนินงานโดย นัมเบอร์ 24
